วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2551

โครงการขจัดสารพิษออกจากร่างกาย

สองสามวันนี้รู้สึกว่าสุขภาพไม่ต่อยจะดี โดยเฉพาะปัญหาเรื่องใต ก็เลยลองค้นหาในเน็ทว่าพอจะมีวิธีบำรุงไตและรักษาสุขภาพร่างกายยังไงบ้างก็ไปเจอเข้ากับเว็บหนึ่งซึ่งน่าสนใจ และอยากจะแบ่งปั่นให้เพื่อนๆได้อ่านกันบ้าง เพื่อเป็นความรู้และบางที่อาจจะเป็นคำตอบของหลายๆคนที่กำลังหาวิธีดูแลสุขภาพ ยังไงก็ลองอ่าน บทความต่อไปนี้ละกันนะครับ
โครงการขจัดสารพิษออกจากร่างกาย
หากท่านเป็นแผลในปาก สิวขึ้นบนใบหน้าหรือท้องผูก... ก็อาจแสดงว่า สารพิษในร่างกายสูงเกินควรแล้ว แล้วท่านจะใช้วิธีการขจัดสารพิษอย่างไร กินยา ล้างท้องหรือทำการผ่าตัด? ความจริง ในร่างกายคนมีระบบขจัดสารพิษที่สูมบูรณ์อยู่แล้ว ขอแต่ให้เราใช้ระบบดังกล่าวนี้ด้วยวิธีที่ถูกต้องเท่านั้น ก็จะสามารถขจัดสารพิษออกจากร่างกายอย่างได้ผลดี อวัยวะในร่างกายหลายส่วนมีสมรรถนะขจัดสารพิษในตัวเองอยู่แล้ว วันนี้ ดิฉันจะขอแนะนำอวัยวะส่วนสำคัญในร่างกาย ที่มีสมรรถนะขจัดสารพิษ
1.สมอง แม้ว่าสมองจะไม่ใช่อวัยวะที่จะขจัดสารพิษโดยตรงได้ก็ตาม แต่ปัจจัยทางใจจะส่งผลต่อการขจัดสารพิษของอวัยวะต่างๆในร่างกายได้ โดยเฉพาะแรงกดดันและความเครียด จะส่งผลให้ระบบขจัดสารพิษในร่างกายทำงานไม่เป็นปกติ วิธีแก้คือ ควรนอนหลับให้เพียงพอ และคลายความเครียด เพื่อลดแรงกดดันของสมองให้เบาลง
2.กระเพาะอาหาร สมรรถนะสำคัญของกระเพาะอาหารคือ ย่อยอาหารและฆ่าเชื้อต่างๆ ในอาหาร แต่บางที่ก็ช่วยขจัดสารพิษด้วย เช่นเมื่อรับประทานอาหารที่เสียแล้วหรือมีสารพิษ ก็จะทำให้เกิดอาการอาเจียนออกมาซึ่จะทำให้เป็นทางหนึ่งที่สามารถขจัดสารพิษออกจากร่างกายได้ ดังนั้น เราจึงควรดูแลกระเพาะอาหารให้ดี ควรพยายามรับประทาน อาหารทุกมื้อตามปกติ อย่ากินอาหารที่เปรี้ยนหรือเผ็ดจนเกินไป ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการระคายต่อกระเพาะอาหาร
3.ระบบน้ำเหลือง ระบบน้ำเหลืองเป็นระบบหมุนเวียนชุดที่สามในร่างกาย นอกจากระบบเส้นเลือดใหญ่ และระบบเส้นเลือดดำ ระบบน้ำเหลืองทำหน้าที่เก็บสารพิษในร่างกาย น้ำเหลืองที่ไหลหมุนเวียนทั่วร่างกายนั้น จะทำหน้าที่ส่งสารพิษเข้าสู่ต่อมน้ำเหลือง สารพิษจะผ่านการกรองจากต่อมน้ำเหลืองเหล่านี้แล้วเข้าสู่หลอดเลือด นำไปหล่อเลี้ยงอวัยวะส่วนปอด ผิวหนัง ตับ และไตเป็นต้น จนถูกขจัดออกจากร่างกาย ดังนั้น ระบบน้ำเหลืองจึงมีความสำคัญมาก เราควรอาบน้ำอุ่นทุกวัน แต่ละครั้งเป็นเวลาประมาณ10-15นาที เพื่อส่งเสริมการหมุนเวียนของน้ำเหลือง ส่วนในหน้าหนาวนั้น หากสามารถแช่เท้าในน้ำอุ่นได้ทุกวัน ก็จะเป็นผลดีอีกด้วย
4.ดวงตา สำหรับผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงที่ร้องไห้ง่ายนั้น จะสามารถขจัดสารพิษออกไปพร้อมกับน้ำตาได้ เพราะในน้ำตานั้น มีสารพิษจำนวนมาก ดังนั้น สำหรับผู้ที่ไม่ค่อยร้องไห้นั้น จึงควรพยายามร้องไห้ประมาณครั้งหรือสองครั้งต่อเดือนด้วยวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการดูละครที่ซาบซึ้งใจหรือการหั่นหัวหอมก็ได้ และอย่าลืมดื่มน้ำหลังการร้องไห้ด้วยนะคะ ดั่งรายการครั้งที่แล้วซึ่งดิฉันได้ให้ความสำคัญของการดื่มน้ำว่า มีความจำเป็นอย่างไร
5.ปอด ปอดเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งที่เก็บซึมซับสารพิษได้ง่าย เพราะแต่ละคนจะต้องสูดลมหายใจเอาอากาศเข้าสู่ร่างกายประมาณ1,000มิลลิเมตรต่อวัน ดังนั้น แบคทีเรีย เชื้อไวรัสและฝุ่นละอองที่ปลิวอยู่ในอากาศนั้น ก็จะถูกดูดซึมเข้าสู่ปอดได้ วิธีการดูแลปอดและช่วยขจัดสารพิษจากปอดก็คือ ในสถานที่ที่มีอากาศสดชื่นหรือในช่วงหลังฝกตกนั้นควร หายใจลึกๆ หรือไอออกมาเองเพื่อช่วยให้ปอดขจัดสารพิษออกไป
6.ตับ ตับเป็นอวัยวะระบายสารพิษที่สำคัญที่สุดในร่างกาย ตับจะใช้โปรติน P450มาระบายสารพิษในอาหาร และแปรรูปอาหารให้เป็นสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แต่สารพิษบางชนิดอาจตกค้างอยู่ในส่วนตับต่อไปได้ วิธีบำรงตับและช่วยขจัดสารพิษคือ ออกกำลังกาย โดยเฉพาะการฝึกโยคะจะสามารถช่วยผ่อนคลายความเครียดในตับได้ เร่งการหมุนเวียนของเลือด และช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย
7.ผิวหนัง ผิวหนังเป็นส่วนที่สามารถขจัดสารพิษออกจากร่างการขนาดใหญ่ที่สุดเพราะผิวหนังสามารถขจัดสารพิษที่อวัยวะส่วนอื่นขจัดได้ยากให้ออกจากร่างกายได้ด้วยเหงื่อ ดังนั้น เราจึงควรออกกำลังกาย เพื่อทำให้เหงื่อออกอย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์
8.ไต ไตเป็นอวัยวะขจัดสารพิษที่สำคัญที่สุดอีกส่วนหนึ่งในร่างกาย เพราะไม่เพียงแต่จะสามารถกรองสารพิษในเลือดให้ออกจากร่างกายพร้อมกับปัสสะวะได้เท่านั้น หากยังมีบทบาทในการรักษาความสมดุลทางสัดส่วนของน้ำ และความสมดุลระหว่างโปแตสเซี่ยมกับโซเดียมอีกด้วย ในปัสสาวะมีสารพิษมาก หากไม่ระบายออกจากร่างกายได้อย่าง ทันท่วงที ก็จะถูกซึมเข้าสู่เลือดอีกครั้ง จนเป็นผลร้ายต่อสุขภาพ วิธีบำรุงไตคือ ดื่มน้ำให้เพียงพอ ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้สารพิษในร่างกายไม่เข้มข้นเท่านั้น หากยังสามารถช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกายได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย ผู้เชี่ยวชาญมีข้อเสนอพิเศษให้ดื่มน้ำเปล่าหลังตื่นนอนในช่วงเช้า
9.ลำไส้ เศษอาหารที่ตกค้างอยู่ในลำไส้นั้น จะกลายเป็นอุจจาระ ซึ่งจะก่อให้เกิดสารพิษหลายอย่าง เช่นสารพิษอินโดล?INDOLE?หากไม่ได้ขับถ่ายออกมาอย่างทันท่วงที่ ก็จะเป็นผลร้ายต่อสุขภาพอย่างแน่นอน ดังนั้น เราจึงควรถ่ายอุจจาระทุกเช้าให้เป็นปกติ เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกาย ดูดซึมสารพิษเข้าสู่ร่างกายใหม่มากขึ้น และควรรับประทานอาหาร ที่มีใยมากเพื่อส่งเสริมการย่อยอาหาร และป้องกันท้องผูก น้ำเปล่า น้ำผึ้งหรือน้ำเลมอนร้อน ต่างก็เป็นน้ำดื่มที่เป็นผลดีต่อการ ขจัดสารพิษ นอกจากนั้น ผลไม้ ข้าวเจ้า ผักสด ข้าวโอ๊ด ปลาและอาหารประเภทเต้าหู้ ต่างก็เป็นอาหารที่ดีสำหรับการ ขจัดสารพิษ ส่วนส้ม กล้วย มะเขือเทศ ถั่วลิสง อาหารประเภทนม น้ำตาล กาแฟ ช๊อกโกเลต เป็นต้น เป็นอาหารที่ไม่ควรรับประทานมากเกินไป เพราะบางอย่างมีกรดมากเกินไป และบางอย่างมีน้ำมันและ ตะกอนมากเกินไป จนทำให้ย่อยลำบาก หวังว่าบทความนี้จะนำประโยชน์แก่ท่านในการดูแลสุขภาพไม่มากก็น้อยค่ะ
อ้างอิงจาก http://www.watthummuangna.com/board/showthread.php?p=103007 30/10/2008

การจัดการความรู้

KM เป็นตัวย่อมาจากคำเต็มว่า Knowledge Management แปลเป็นภาษาไทย ตรงๆ ว่า “การจัดการความรู้” เรื่องการจัดการความรู้ในองค์กรเป็นเรื่อง ที่สำนักงาน ก.พ.ร. กำหนดให้ทุก ส่วนราชการต้องดำเนินการซึ่งเป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหาร กิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546 มาตรา 11 โดยกำหนดให้เป็นตัวชี้วัดในการทำคำรับรองการปฏิบัติ ิราชการประจำปีมาเป็นเวลา 3 ปี แล้ว คือ ตั้งแต่ปี 2547 – 2549 แม้จะดำเนินการกันมาอย่าง ต่อเนื่อง 3 ปี แต่ส่วนราชการทั้งหลายก็ยังขาดองค์ความรู้ ในการจัดการความรู้ให้เป็นระบบตามหลัก วิชาการ เพราะเป้าหมายหลักของการจัดการความรู้ก็คือ ต้องทำให้คนในองค์กรสามารถเข้าถึงความรู้ ที่มีอยู่ได้อย่างทั่วถึงและมากที่สุด เพื่อนำความรู้นั้นไปใช้ ้ในการมาการจัดการความรู้ในองค์กรของ ส่วนราชการต่างๆ ยังไม่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน เนื่องจากยังขาดองค์ความรู้ตามหลักวิชาการที่จะดำเนินการตามขั้นตอนให้เป็นระบบ ทำให้ ส่วนราชการทั้งหลาย ให้ความสำคัญกับรูปแบบของการจัดการความรู้โดยการฝึกอบรม (Training) เป็นส่วนใหญ่ซึ่งรูปแบบดังกล่าวต้องใช้งบประมาณสูง จึงเป็นปัญหาในทางปฏิบัติของทุกส่วนราชการ ต่อมา ในปี 2549 สำนักงาน ก.พ.ร. จึงไปจัดจ้าง สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติให้จัดวางระบบใน เรื่องของการจัดการความรู้ และกำหนดเป็นตัวชี้วัดในมิติที่ 4 ของการจัดทำคำรับรองการปฏิบัติ ราชการประจำปี 2549 ทำให้ในปีนี้ทุกส่วนราชการมีทิศทาง ในการจะดำเนินการจัดการความรู้ให้เป็นระบบได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ก่อนจะเล่าให้ท่านผู้อ่านทราบว่า วิธีการจัดการความรู้ในองค์กร มีขั้นตอนอย่างไร ถ้าเราจะทำเราจะเริ่มต้นตรงไหน อย่างไรนั้น ขอนำความหมายของคำว่า “ความรู้” ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 มาบอก กล่าวให้ทราบเพื่อความเข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น พจนานุกรมฯให้นิยามว่า “ความรู้” คือ สิ่งสั่งสมมาจาก การศึกษาเล่าเรียน การค้นคว้า หรือ ประสบการณ์ รวมทั้งความสามารถเชิงปฏิบัต ิและทักษะ ความเข้าใจหรือสารสนเทศที่ได้รับมาจากประสบการณ์ สิ่งที่ได้รับจากการ ได้ยิน ได้ฟัง การคิด หรือ การ ปฏิบัติองค์วิชาในแต่ละสาขา
ความรู้จำแนกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ ความรู้ที่ฝังอยู่ในคน ( Tacit Knowledge) และ ความรู้ ที่ชัดแจ้ง ( Explicit Knowledge ) ความรู้ที่ฝังอยู่ในคนคือ ประสบการณ์ ทักษะ พรสวรรค์ เทคนิค การทำงานที่สั่งสมมาจนชำนาญไม่มีในตำรา ส่วนความรู้ที่ชัดแจ้งคือ ความรู้ที่สามารถจับต้องได้ เช่น หนังสือ เอกสาร รายงาน ซีดี เทป เป็นต้น เมื่อเทียบความรู้ 2 ประเภทแล้ว พบว่า อัตราความรู้ที่ฝังอยู่ในคนมากกว่าความรู้ที่ชัดแจ้งเป็น อัตราส่วน 80 : 20 คงพอทราบคร่าวๆแล้วว่า ความรู้คืออะไร มีกี่ประเภท ตอนนี้จะขอเล่าถึงวิธีการจัดการความรู้ให้เป็นระบบ ให้บุคลากรสามารถ นำความรู้นั้นมาใช้ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพได้ ในปี 2549 เมื่อสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ มาวางระบบเรื่องนี้ีให้สำนักงาน ก.พ.ร. ทำให้ส่วนราชการมีการจัดการความรู้ตามขั้นตอนที่เป็นระบบ โดยเริ่มจาก :-
ขั้นตอนที่ 1 การบ่งชี้ความรู้ หน่วยงานต้องสำรวจความรู้ที่บุคลากรจำเป็นต้องใช้ เพื่อให้การทำงานบรรลุเป้าหมาย โดยสำรวจว่า เราต้องการ ความรู้อะไร และที่มีอยู่เพียงพอหรือไม่
ขั้นตอนที่ 2 การสร้างและแสวงหาความรู้ เมื่อสำรวจแล้วเห็นว่าความรู้ที่มีอยู่ไม่เพียงพอ ก็ต้องไปแสวงหามาเพิ่มเติมให้ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ มากที่สุด
ขั้นตอนที่ 3 การจัดการความรู้ให้เป็นระบบ เมื่อได้ความรู้มาเพียงพอแล้วก็นำมาจัดหมวดหมู่ให้ชัดเจน และจัดเก็บไว้ในรูปแบบต่างๆ ทั้งเอกสาร หนังสือ เทป วีซีดี เป็นต้น
ขั้นตอนที่ 4 การประมวลและกลั่นกรองความรู้ ต้องนำความรู้ที่จัดเก็บเป็นหมวดหมู่ไว้แล้วมาทบทวน กลั่นกรอง ให้มีความทันสมัย
ขั้นตอนที่ 5 การเข้าถึงความรู้ ต้องมีการจัดช่องทางเผยแพร่ความรู้ทางช่องทางต่างๆ ที่หลากหลาย เพื่อให้บุคลากรสามารถเข้าถึง ความรู้ได้สะดวก รวดเร็ว และทั่วถึง
ขั้นตอนที่ 6 การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ จัดกิจกรรมให้บุคลากรมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เช่น กิจกรรมชุมชนนักปฏิบัติ ( Community of Practice หรือ Cop.), การสอนงาน ( Coaching ) และระบบพี่เลี้ยง (Mentoring) เป็นต้น
ขั้นตอนที่ 7 การเรียนรู้ กำหนดให้บุคลากรในองค์กรต้องใช้ KM เข้ามาช่วยในการทำงานเพื่อผลงานที่มีประสิทธิภาพ โดย อาจกำหนดเป็นนโยบาย จากผู้บริหารขององค์กรก็ได้
ขั้นตอนต่าง ๆ ทั้ง 7 ขั้นตอนนี้ เมื่อลงมือปฏิบัติจริงๆ ต้องใช้เวลาพอสมควร โดยเฉพาะในขั้นตอนที่ 7 เป็นขั้นตอนที่ต้องการให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจริงจัง นั่นก็คือ บุคลากรทุกคนต้องทำงานโดยมี KM อยู่ในสายเลือด โดยการทำงานที่ต้องใช้องค์ความรู้ที่ถูกต้อง ทันสมัย ครบถ้วน มาประกอบการ ปฏิบัติราชการในความรับผิดชอบทุกเรื่อง แล้วงานที่ออกมาก็จะเกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด หรือ ไม่เกิดความผิดพลาดเลย
ท้ายที่สุดแล้ว ผู้อ่านคงจะทราบแล้วว่า KM คืออะไร ???
การจัดการความรู้ หรือ Knowledge Management คือ การรวบรวมความรู้ที่มีอยู่กระจัดกระจายในองค์กรมาจัดระบบ และ พัฒนาให้มีความทันสมัยอยู่เสมอ โดยจัดช่องทางการเข้าถึงความรู้ให้สะดวก รวดเร็ว และทั่วถึงเพื่อให้บุคลากรนำความรู้ไปพัฒนาการปฏิบัติราชการให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เรื่องของการจัดการความรู้ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ถ้าผู้บริหารสูงสุดขององค์กร ให้ความสำคัญ ก็สามารถรับประกัน ความสำเร็จได้ 100%
ที่มา :- เรื่องดีที่น่ารู้ วารสารกรมประชาสัมพันธ์ ปีที่ 11 ฉบับที่ 127 ประจำเดือนกรกฎาคม 2549 หน้า 52 – 53.
อ้างอิงจาก http://www.ceted.org/th/knowledge/index.php?ID=16&pgShow=knowledge&action=View 30/10/2008

ความผิดทางอาญาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

ความผิดทางอาญาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่ทุกคนควรทราบ มีผลบังคับใช้ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค. 50 เรามาทำความเข้าใจแบบภาษาชาวบ้านๆ กันซะหน่อยไหม ว่าทำอย่างไรถึงจะไม่เสี่ยงเข้าไปนอนในตารางกัน
1. เจ้าของไม่ให้เข้าระบบคอมพิวเตอร์ของเขา แล้วเราแอบเข้าไปซะงั้น … เจอคุก 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2. แอบไปรู้วิธีการเข้าระบบคอมพิวเตอร์ของชาวบ้าน แล้วเที่ยวไปประกาศให้คนอื่นรู้ … เจอคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
3. ข้อมูลของเขา เขาเก็บไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ดีๆ แล้วแอบไปล้วงข้อมูลของเขาออกมา … เจอคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
4. เขาส่งข้อมูลหากันผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบส่วนตั๊วส่วนตัว แล้วเราทะลึ่งไปดักจับข้อมูลของเขา … เจอคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
5. ข้อมูลของเขาอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ของเขา เราดันมือบอนไปโม (modify หรือปรับแก้) มันซะงั้น … เจอคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน100,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
6. ระบบคอมพิวเตอร์ของชาวบ้านทำงานอยู่ดีๆ เราดันยิง packet หรือ message หรือ virus หรือ trojan หรือ worm หรืออะไรก็ตามเข้าไปก่อกวนจนระบบเขาเดี้ยง … เจอคุกไม่เกิน 5 ปีหรือปรับไม่เกิน100,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
7. เขาไม่ได้อยากได้ข้อมูลหรืออีเมลล์จากเราเล้ย เราก็ทำตัวเซ้าซี้ส่งให้เขาซ้ำๆ อยู่นั่นแหล่ะ จนทำให้เขาเบื่อหน่ายรำคาญ … เจอปรับไม่เกิน100,000บาท
8. ถ้าเราทำผิดข้อ 5. กับ ข้อ 6. แล้ว... - ทำให้เราๆ ท่านๆ บุคคลทั่วไปเกิดความเสียหาย ... จำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 200,000บาท - ก่อความเสียหายต่อความั่นคงของประเทศ เศษรฐกิจ และสังคม .... จำคุกตั้งแต่ 3 - 5 ปี และปรับตั้งแต่ 60,000บาท ถึง 300,000บาท และถ้าทำให้ใครตายก็จะปรับโทษเป็น ... จำคุกตั้งแต่ 10ปีถึง 20ปี
9. ถ้าเราสร้างซอฟต์แวร์เพื่อช่วยให้ใครๆทำเรื่องแย่ๆในข้อข้างบนได้ … เจอคุกไม่เกินปีนึง หรือปรับไม่เกิน 20,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
10. โป๊,โกหก, ปลอมแปลง,กระทบความมั่นคง,ก่อการร้าย, และส่งต่อข้อมูลทั้งๆที่รู้ว่าผิดตามที่กล่าวมาข้างต้น … เจอคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
11.ใครเป็นเจ้าของเว็บ แล้วสนับสนุน/ยอมให้เกิดข้อ 10. โดนเหมือนกัน … เจอคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เท่ากับคนที่ทำเลย
12. ใครอยากเป็นศิลปินข้างถนน ที่ชอบเอารูปชาวบ้านมาตัดต่อแล้วเอาไปโชว์ผลงานบนระบบคอมพิวเตอร์ให้ใครต่อใครดู เตรียมใจไว้เลยมีสิทธิ์โดน…เจอคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
13. เราทำผิดที่เว็บไซต์ซึ่งอยู่เมืองนอก แต่ถ้าเราเป็นคนไทย อย่าคิดว่ารอด โดนแหงๆ
14. ฝรั่งทำผิดกับเรา แล้วอยู่เมืองนอกอีกต่างหาก เราเป็นคนไทย ก็เรียกร้องเอาผิดได้เหมือนกัน .
อ้างอิงจาก http://www.ceted.org/th/news/detail.php?pgShow=news&NewsID=178 30/10/2008

วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2551

การจัดการหลักสูตรการเรียนการสอนด้านเทคโนโลยีการศึกษา...

การจัดการหลักสูตรการเรียนการสอนด้านเทคโนโลยีการศึกษา... กว่า 30 ปีที่ผ่านมา เมื่อกล่าวถึงเทคโนโลยีการศึกษา เรามักจะต้องกล่าวถึงบริบทของ วิทยุ-โทรทัศน์, ฟิล์มสตริป, สไลด์, โอเวอร์เฮด, โอเปคโปรเจคเตอร์, วิทยุเทป และเครื่องถ่าย-อัด วิดีโอคาสเสท เป็นต้น ท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและสังคมโลก เทคโนโลยีการศึกษาก็เกิดความเปลี่ยนแปลงไปเช่นเดียวกัน ปัจจุบันนี้หากจะกล่าวถึงเทคโนโลยีการศึกษา เรามักจะอ้างอิงถึงความเป็นภาพโดยรวมเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เช่น คอมแพคดิสต์, เครื่องเล่นเพลงแบบคอมแพคดิสต์, เครื่องเล่นวิดีโอดิสต์, ระบบเครือข่าย, ไฮเปอร์มีเดีย, มัลติมีเดีย, แอนิเมชัน, ดิจิทัล, ระบบการสื่อสารและสัญญาน, Video on Demand, Distance Learning, ICT, CAI, Virtual Classroom, Internet, e-Mail, Search Engine, Chat, Webboard, Ftp, WWW, WBI, Web Blog, LMS, CMS, e-Book, e-Learning, m-Learning และอื่นๆ เป็นต้น ดังนั้นการจัดการหลักสูตรการเรียนการสอนด้านเทคโนโลยีการศึกษาในสถาบันการศึกษาจึงควรมีการปรับเปลี่ยนเพื่อความสอดคล้องและทันยุคทันเหตุการณ์กับความเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกโดยเราต้องยอมรับว่า ณ ปัจจุบันนี้สื่อบางตัวกลายเป็นอดีตไปแล้ว เช่น ฟิล์มสตริป, สไลด์, วีดีทัศน์แบบตลับ (VHS) แม้กระทั่งฟิล์มถ่ายรูปก็จะกลายเป็นอดีตของการบันทึกภาพในยุคปัจจุบัน แน่นอนว่าเราจะปฏิเสธเทคโนโลยีในอดีตที่ผ่านมาไม่ได้ หากจะศึกษาก็เพื่อให้เข้าใจถึงที่มาและการพัฒนาของสื่อเทคโนโลยี เพราะสื่อหรือเทคโนโลยีในปัจจุบันก็มีพัฒนาการมาจากสื่อต้นแบบในอดีตทั้งนั้น แต่รูปแบบของการศึกษาคงจะต้องปรับเปลี่ยนไปจากเดิม เราคงจะยึดติดกับสิ่งเหล่านั้นตลอดไปไม่ได้ ซึ่งไม่ใช่แปลว่าเทคโนโลยีในอดีตไม่ดี แต่เทคโนโลยีเหล่านั้นบางตัวมีความเหมาะสมแค่ในยุคนั้นสมัยนั้น เมื่อเวลาเปลี่ยนไป ก็มีเทคโนโลยีตัวใหม่พัฒนาเข้ามาแทนที่ ข้อสำคัญเราอย่าไปติดยึดกับสื่อหรือเทคโนโลยีตัวใดตัวหนึ่งเป็นอันขาด สิ่งสำคัญที่สุดของการใช้เทคโนโลยีก็คือ การรู้จักเลือกและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีให้สอดคล้องกับความจำเป็นตามสถานการณ์และสภาพแวดล้อมที่มีอยู่ในขณะนั้น ไม่สนับสนุนความคิดที่จะต้องก้าวตามเทคโนโลยีเสมอไป แต่สนับสนุนความคิดที่จะประยุกต์ใช้เทคโนโลยีให้เป็นเพียงเครื่องมือ เพื่ออำนวยความสะดวกและก่อให้เกิดประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม...(ไพฑูรย์ ศรีฟ้า, 2550)
อ้างอิงจาก http://www.drpaitoon.com/ วันที่ 28/10/2008

กว่าจะมาเป็นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (eBook)

กว่าจะมาเป็นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (eBook) หนังสือที่มีอยู่โดยทั่วไป จะมีลักษณะเป็นเอกสารที่จัดพิมพ์ด้วยกระดาษ แต่ด้วยความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย และความเปลี่ยนแปลงด้านอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีการพัฒนาต่อเนื่องอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้มีการคิดค้นวิธีการใหม่โดยใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วย จึงได้นำหนังสือดังกล่าวเหล่านั้นมาทำคัดลอก (scan) โดยหนังสือก็ยังคงสภาพเดิม แต่จะได้ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นแฟ้มภาพขึ้นมาใหม่ โดยจะนำแฟ้มภาพตัวหนังสือมาผ่านกระบวนการแปลงภาพเป็นตัวหนังสือ (text) ด้วยการทำ OCR (Optical Character Recognition) คือการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อแปลงภาพตัวหนังสือให้เป็นตัวหนังสือที่สามารถแก้ไขเพิ่มเติมได้ การถ่ายทอดข้อมูลในระยะต่อมา จะถ่ายทอดผ่านทางแป้นพิมพ์ และประมวลผลออกมาเป็นตัวหนังสือและข้อความด้วยคอมพิวเตอร์ ดังนั้นหน้ากระดาษก็เปลี่ยนรูปแบบไปเป็นแฟ้มข้อมูล (files) แทน ทั้งยังมีความสะดวกต่อการเผยแพร่และจัดพิมพ์เป็นเอกสาร (documents printing) รูปแบบของหนังอิเล็กทรอนิกส์ยุคแรกๆ มีลักษณะเป็นเอกสารประเภท .doc, .txt, rtf, และ pdf ไฟล์ ต่อมาเมื่อมีการพัฒนาภาษา HTML (Hypertext Markup Language) ข้อมูลต่างๆ ก็จะถูกออกแบบและตกแต่งในรูปของเว็บไซต์ โดยในแต่ละหน้าของเว็บไซต์เราเรียกว่า "web page" โดยสามารถเปิดดูเอกสารเหล่านั้นได้ด้วยเว็บเบราว์เซอร์ (web browser) ซึ่งเป็นโปรแกรมประยุกต์ที่สามารถแสดงผลข้อความ ภาพ และการปฏิสัมพันธ์ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เมื่ออินเทอร์เน็ตได้รับความนิยมมากขึ้น บริษัทไมโครซอฟต์ (Microsoft) ได้ผลิตเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นมาเพื่อคอยแนะนำในรูปแบบ HTML Help ขึ้นมา มีรูปแบบของไฟล์เป็น .CHM โดยมีตัวอ่านคือ Microsoft Reader (.LIT) หลังจากนั้นต่อมามีบริษัทผู้ผลิตโปรแกรมคอมพิวเตอร์จำนวนมาก ได้พัฒนาโปรแกรมจนกระทั่งสามารถผลิตเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ออกมาเป็นลักษณะเหมือนกับหนังสือทั่วไปได้ เช่น สามารถแทรกข้อความ แทรกภาพ จัดหน้าหนังสือได้ตามความต้องการของผู้ผลิต และที่พิเศษกว่านั้นคือ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ สามารถสร้างจุดเชื่อมโยงเอกสาร (HyperText) ไปยังเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ทั้งภายในและภายนอกได้ อีกทั้งยังสามารถแทรกเสียง ภาพเคลื่อนไหวต่างๆ ลงไปในหนังสือได้ โดยคุณสมบัติเหล่านี้ไม่สามารถทำได้ในหนังสือทั่วไป...(ไพฑูรย์ ศรีฟ้า, 2550)
อ้างอิงจาก http://www.drpaitoon.com/ วันที 28 / 10 / 2008